ใส่หน้ากากอนามัยอย่างไรให้ถูกวิธี? เพื่อการป้องกันสูงสุด

ใส่หน้ากากอนามัยอย่างไรให้ถูกวิธี? เพื่อการป้องกันสูงสุด

วิธีการใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้อง ทั้งแบบมีสายคล้องหูและสายผูก พร้อมเคล็ดลับตรวจสอบความกระชับ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันเชื้อโรคและมลภาวะ

หน้ากากอนามัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันตนเองจากโรคติดต่อทางเดินหายใจและมลภาวะ แต่ประสิทธิภาพของหน้ากากจะลดลงหากใช้งานหรือดูแลรักษาไม่ถูกต้อง บทความนี้จะแนะนำวิธีการใส่ ถอด ดูแลรักษา และทิ้งหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี เพื่อให้คุณได้รับการป้องกันที่ดีที่สุด

ทำไมการใส่และดูแลรักษาหน้ากากอนามัยอย่างถูกต้องจึงสำคัญ?

การใช้หน้ากากอนามัยอย่างถูกต้อง ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงในการรับเชื้อโรคและมลภาวะ แต่ยังช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคสู่ผู้อื่น การใส่หน้ากากที่ไม่กระชับ หรือการดูแลรักษาที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ประสิทธิภาพในการกรองลดลง หรือเพิ่มความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อโรคโดยไม่ได้ตั้งใจ เราจะให้คำแนะนำที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน เพื่อให้คุณสามารถใช้หน้ากากอนามัยได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

ขั้นตอนการใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้อง เริ่มจากล้างมือ ใส่หน้ากากคลุมจมูก และปรับสายให้กระชับ

ขั้นตอนการใส่หน้ากากอนามัยอย่างถูกต้อง

การใส่หน้ากากอนามัยอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพในการป้องกันโรคและมลภาวะ การใส่หน้ากากที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดช่องว่างและลดประสิทธิภาพการกรองลง

การเตรียมตัวก่อนใส่หน้ากากอนามัย

  • ล้างมือให้สะอาด : ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดอย่างน้อย 20 วินาที โดยถูให้ทั่วทั้งฝ่ามือ หลังมือ ง่ามนิ้ว และซอกเล็บ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นอย่างน้อย 70% ถูให้ทั่วมือจนแห้ง การล้างมือเป็นการลดการปนเปื้อนเชื้อโรคจากมือสู่หน้ากาก
  • ตรวจสอบหน้ากาก : ตรวจสอบหน้ากากว่าอยู่ในสภาพดี ไม่มีรอยฉีกขาด รอยเปื้อน รูรั่ว หรือความเสียหายใดๆ โดยเฉพาะบริเวณสายคล้องหูหรือสายผูก และบริเวณรอยต่อของหน้ากาก หากพบความเสียหาย ควรเปลี่ยนหน้ากากใหม่ทันที

วิธีการใส่หน้ากากอนามัยแต่ละประเภท

หน้ากากอนามัยมีหลายประเภท แต่ที่นิยมใช้กันทั่วไปคือแบบมีสายคล้องหูและแบบมีสายผูก ซึ่งมีวิธีการใส่ดังนี้

หน้ากากแบบมีสายคล้องหู (Ear Loop Mask/Surgical Mask)

  • จับที่สายคล้องหู : จับที่สายคล้องหูทั้งสองข้าง โดยให้ด้านที่มีสีเข้ม (ถ้ามี) หรือด้านที่มีลวดอยู่ด้านบน หันออกด้านนอก
  • คล้องเข้ากับหูทั้งสองข้าง : คล้องสายเข้ากับหูทั้งสองข้าง โดยให้หน้ากากแนบกับใบหน้า
  • คลี่หน้ากากออก : คลี่หน้ากากออกให้ครอบคลุมจมูก ปาก และคาง โดยให้ขอบด้านล่างอยู่ใต้คาง
  • กดลวดบริเวณสันจมูก : กดลวดบริเวณสันจมูกให้แนบสนิทกับรูปหน้า เพื่อลดช่องว่างบริเวณจมูก ซึ่งเป็นจุดที่อากาศสามารถรั่วไหลได้ง่าย

หน้ากากแบบมีสายผูก (Tie-on Mask)

  • ผูกสายด้านบน : ผูกสายด้านบนไว้เหนือศีรษะ บริเวณเหนือหู ให้แน่นพอดี ไม่หลวมหรือแน่นจนเกินไป
  • ผูกสายด้านล่าง : ผูกสายด้านล่างไว้ใต้ศีรษะ บริเวณต้นคอ ให้แน่นพอดีเช่นกัน
  • ปรับหน้ากาก : ปรับหน้ากากให้ครอบคลุมจมูก ปาก และคาง โดยให้ขอบด้านล่างอยู่ใต้คาง
  • กดลวดบริเวณสันจมูก : กดลวดบริเวณสันจมูกให้แนบสนิทกับรูปหน้า เพื่อลดช่องว่าง

การตรวจสอบความกระชับ (Fit Check/Seal Check)

หลังจากใส่หน้ากากแล้ว ควรตรวจสอบความกระชับของหน้ากาก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอากาศรั่วไหล

  • หายใจแรงๆ : ลองหายใจเข้าและออกแรงๆ หากรู้สึกว่ามีลมรั่วออกมาบริเวณขอบหน้ากาก บริเวณจมูก แก้ม หรือคาง แสดงว่าหน้ากากไม่กระชับ
  • ขยับศีรษะ : ลองขยับศีรษะไปมา หากหน้ากากเลื่อนหลุดหรือมีช่องว่าง แสดงว่าหน้ากากไม่พอดี
  • การแก้ไข : หากหน้ากากไม่กระชับ ให้ปรับสายคล้องหูหรือสายผูกใหม่ หรือเปลี่ยนหน้ากากใหม่ หากจำเป็น ควรเลือกหน้ากากที่มีขนาดเหมาะสมกับใบหน้า

ข้อควรจำเพิ่มเติม

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้ากาก : ขณะสวมใส่ หลีกเลี่ยงการสัมผัสส่วนด้านหน้าของหน้ากาก หากจำเป็นต้องสัมผัส ควรล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังสัมผัส
  • หน้ากากสำหรับผู้มีหนวดเครา : ผู้ที่มีหนวดเคราอาจทำให้หน้ากากไม่แนบสนิทกับใบหน้า ทำให้ประสิทธิภาพการป้องกันลดลง ควรโกนหนวดเครา หรือเลือกใช้หน้ากากที่ออกแบบมาสำหรับผู้มีหนวดเครา
  • หน้ากากสำหรับเด็ก : ควรเลือกหน้ากากที่มีขนาดเหมาะสมกับใบหน้าเด็ก และสอนให้เด็กสวมใส่และถอดหน้ากากอย่างถูกต้อง

ทำความรู้จักกับหน้ากากอนามัยประเภทต่างๆ และเปรียบเทียบหน้ากากอนามัยแต่ละชนิด

วิธีการถอดหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี

การถอดหน้ากากอนามัยอย่างถูกต้องมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการสัมผัสเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนอยู่บนหน้ากาก การถอดอย่างไม่ระมัดระวังอาจเพิ่มความเสี่ยงในการรับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย

ขั้นตอนการถอดหน้ากากอนามัยอย่างปลอดภัย

  • ล้างมือให้สะอาด : ก่อนเริ่มต้นถอดหน้ากาก ควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำอย่างน้อย 20 วินาที หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นอย่างน้อย 70% เพื่อลดปริมาณเชื้อโรคที่อาจติดอยู่บนมือ
  • จับที่สายคล้องหูหรือสายผูก : หลีกเลี่ยงการสัมผัสส่วนด้านหน้าของหน้ากากโดยตรง เพราะอาจปนเปื้อนเชื้อโรค จับที่สายคล้องหู (Ear Loops) หรือสายผูก (Ties) เพื่อถอดหน้ากากออก
    • หน้ากากแบบมีสายคล้องหู : ใช้มือจับที่สายคล้องหูทั้งสองข้างพร้อมกัน แล้วดึงหน้ากากออกจากใบหน้า
    • หน้ากากแบบมีสายผูก : แกะสายผูกด้านล่างก่อน แล้วจึงแกะสายผูกด้านบน
  • ทิ้งหน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้งอย่างถูกวิธี
    • ใส่ในถุงพลาสติก : หาถุงพลาสติกสะอาด (เช่น ถุงซิปล็อก หรือถุงพลาสติกทั่วไป) และใส่หน้ากากที่ใช้แล้วลงในถุง โดยให้ด้านที่สัมผัสกับใบหน้าอยู่ด้านใน
    • ปิดปากถุงให้มิดชิด : เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
    • ทิ้งลงในถังขยะที่มีฝาปิด : เลือกทิ้งในถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด เพื่อป้องกันสัตว์หรือแมลงนำเชื้อโรคไปแพร่กระจาย
  • ล้างมือให้สะอาดอีกครั้ง : หลังจากการทิ้งหน้ากาก ควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์อีกครั้ง เพื่อความมั่นใจว่ามือสะอาดและปราศจากเชื้อโรค

ข้อควรหลีกเลี่ยงในการถอดหน้ากากอนามัย

  • ไม่สัมผัสส่วนด้านหน้าของหน้ากาก : การสัมผัสส่วนด้านหน้าอาจทำให้เชื้อโรคติดมือ และแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
  • ไม่ดึงหน้ากากลงมาไว้ที่คางหรือใต้จมูก : การทำเช่นนี้จะทำให้ด้านในของหน้ากากสัมผัสกับผิวหนังบริเวณคางและคอ ซึ่งอาจปนเปื้อนเชื้อโรค
  • ไม่เก็บหน้ากากไว้ในกระเป๋าหรือที่อื่นๆ โดยไม่ใส่ถุง : การเก็บหน้ากากโดยไม่ใส่ถุง อาจทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปยังสิ่งของอื่นๆ
  • ไม่นำหน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้งกลับมาใช้ซ้ำ : หน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้งออกแบบมาสำหรับการใช้งานครั้งเดียว การนำกลับมาใช้ซ้ำจะลดประสิทธิภาพในการป้องกันและเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ

การจัดการหน้ากากอนามัยในสถานการณ์พิเศษ

  • กรณีอยู่ในสถานที่สาธารณะ : หากไม่มีถุงพลาสติกในขณะนั้น ให้พับหน้ากากโดยให้ด้านที่สัมผัสกับใบหน้าอยู่ด้านใน แล้วถือไว้ในมือโดยระมัดระวัง เมื่อถึงที่ที่มีถังขยะและถุงพลาสติก ให้ทิ้งหน้ากากตามขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้น
  • กรณีดูแลผู้ป่วยที่บ้าน : ควรใช้ถุงพลาสติกแยกเฉพาะสำหรับทิ้งหน้ากากและขยะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วย และควรทิ้งขยะเหล่านี้อย่างระมัดระวัง

การดูแลรักษาหน้ากากอนามัยผ้า (Cloth Mask Care)

หน้ากากผ้าเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนและประหยัด แต่ต้องดูแลรักษาอย่างถูกวิธีเพื่อคงประสิทธิภาพในการป้องกันและสุขอนามัยที่ดี

ความถี่ในการซัก (Washing Frequency)

  • ซักทุกครั้งหลังการใช้งาน : เพื่อกำจัดสิ่งสกปรก เหงื่อไคล และเชื้อโรคที่อาจสะสมอยู่บนหน้ากาก
  • หากใช้เป็นเวลานานหรือมีเหงื่อมาก : ควรเปลี่ยนและซักหน้ากากผ้าระหว่างวัน

วิธีการซักหน้ากากผ้า (Washing Methods)

  • ซักมือ (Hand Washing)
    • แช่หน้ากากในน้ำสบู่หรือน้ำผสมผงซักฟอกอ่อนๆ ประมาณ 15-20 นาที
    • ขยี้เบาๆ บริเวณที่มีคราบสกปรก
    • ล้างออกด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง จนหมดฟอง
  • ซักเครื่อง (Machine Washing)
    • ใส่หน้ากากในถุงซักผ้า เพื่อป้องกันความเสียหายและยืดอายุการใช้งาน
    • ใช้น้ำเย็นหรือน้ำอุ่น และเลือกโปรแกรมซักผ้าแบบถนอมผ้า (Delicate Cycle)
  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาฟอกขาว (Avoid Bleach) : น้ำยาฟอกขาวอาจทำให้ผ้าเสื่อมสภาพ สีซีดจาง และระคายเคืองผิว ควรใช้น้ำยาซักผ้าที่มีฤทธิ์อ่อนโยน
  • ตากแดดให้แห้งสนิท (Air Dry) : ตากแดดหรือผึ่งลมให้แห้งสนิทก่อนนำกลับมาใช้ เพื่อป้องกันเชื้อราและความอับชื้น การอบผ้าในเครื่องอบผ้าอาจทำให้หน้ากากหดตัวหรือเสียรูปทรง
  • การรีด (Ironing – Optional) : หากต้องการรีด ควรใช้ไฟอ่อนและรีดด้านในของหน้ากาก เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อเนื้อผ้าและประสิทธิภาพการกรอง

วัสดุผ้าที่เหมาะสมและการดูแลรักษาเฉพาะ (Fabric Types and Specific Care)

  • ผ้าฝ้าย (Cotton) : ซักและรีดได้ง่าย ทนทานต่อความร้อน
  • ผ้าใยสังเคราะห์ (Synthetic Fabrics) : ควรซักด้วยน้ำเย็นและหลีกเลี่ยงการรีดด้วยความร้อนสูง
  • ผ้าผสม (Blended Fabrics) : ปฏิบัติตามคำแนะนำการดูแลรักษาตามส่วนผสมของผ้า

การเก็บรักษาหน้ากากอนามัยเมื่อไม่ใช้งาน (Storing Face Masks)

การเก็บรักษาหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธีมีความสำคัญ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนและรักษาความสะอาด

หน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้ง (Disposable Masks)

  • ไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำ (Single Use) : ควรทิ้งทันทีหลังการใช้งาน เพื่อสุขอนามัยที่ดี
  • วิธีการทิ้ง : ใส่ในถุงพลาสติก ปิดปากถุงให้มิดชิด และทิ้งลงในถังขยะที่มีฝาปิด

หน้ากากผ้า (Cloth Masks)

  • เก็บในที่แห้งและสะอาด (Clean and Dry Storage) : เช่น ในถุงผ้าที่สะอาด ถุงซิปล็อค หรือกล่องที่สะอาดและมีฝาปิด เพื่อป้องกันฝุ่นละอองและสิ่งสกปรก
  • หลีกเลี่ยงการเก็บในที่อับชื้น (Avoid Damp Places) : เพื่อป้องกันเชื้อรา
  • แยกเก็บจากหน้ากากที่ใช้แล้ว (Separate from Used Masks) : เพื่อป้องกันการปนเปื้อน
  • การพกพา (Carrying) : หากต้องพกพาหน้ากากผ้า ควรใส่ในถุงซิปล็อคหรือภาชนะที่สะอาด เพื่อป้องกันการสัมผัสกับสิ่งสกปรกในกระเป๋า

ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม (Additional Considerations)

  • การสลับหน้ากาก (Rotating Masks) : หากใช้หน้ากากผ้า ควรมีหน้ากากสำรอง เพื่อสลับเปลี่ยนระหว่างวัน และให้หน้ากากที่ใช้แล้วได้พักและแห้งสนิท
  • การตรวจสอบสภาพหน้ากาก (Inspecting Masks) : ตรวจสอบหน้ากากผ้าก่อนใช้งานทุกครั้ง หากพบว่าผ้าเริ่มบาง มีรอยขาด หรือเสียรูปทรง ควรเปลี่ยนหน้ากากใหม่

ข้อควรระวังในการใช้หน้ากากอนามัย (Face Mask Usage Precautions)

การใช้หน้ากากอนามัยอย่างถูกต้องไม่ใช่เพียงแค่การสวมใส่ แต่รวมถึงการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพการป้องกันหรือเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ

สิ่งที่ไม่ควรทำขณะใช้หน้ากากอนามัย

  • ไม่สัมผัสส่วนด้านหน้าของหน้ากาก (Avoid Touching the Front of the Mask) : ขณะใช้งาน ไม่ควรสัมผัสส่วนด้านหน้าของหน้ากาก เนื่องจากอาจมีเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกปนเปื้อน หากจำเป็นต้องสัมผัส ควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ก่อนและหลังสัมผัส
  • ไม่ดึงหน้ากากลงมาไว้ที่คางหรือใต้จมูก (Do Not Pull the Mask Down) : การดึงหน้ากากลงมาไว้ที่คางหรือใต้จมูก ทำให้จมูกและปากสัมผัสกับอากาศภายนอกโดยตรง ซึ่งลดประสิทธิภาพในการป้องกันอย่างมาก หากต้องการพัก ควรนำหน้ากากเก็บในถุงที่สะอาด
  • ไม่ใช้หน้ากากที่เปียกชื้นหรือสกปรก (Do Not Use a Wet or Dirty Mask) : หน้ากากที่เปียกชื้นหรือสกปรกจะทำให้หายใจลำบาก เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค และลดประสิทธิภาพในการกรอง ควรเปลี่ยนหน้ากากใหม่ทันที
  • ไม่ใช้หน้ากากอนามัยร่วมกับผู้อื่น (Do Not Share Masks) : การใช้หน้ากากร่วมกับผู้อื่นเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อโรค ไม่ควรใช้หน้ากากร่วมกับใครก็ตาม
  • ไม่นำหน้ากากที่ใช้แล้วกลับมาใช้ซ้ำ (สำหรับหน้ากากแบบใช้แล้วทิ้ง) : หน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้งออกแบบมาสำหรับการใช้งานครั้งเดียว การนำกลับมาใช้ซ้ำจะลดประสิทธิภาพในการกรองและเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  • ไม่เก็บหน้ากากไว้ในที่อับชื้น (Avoid Storing Masks in Damp Places) : การเก็บหน้ากากในที่อับชื้น เช่น ในกระเป๋าที่อับ หรือในรถที่ตากแดด อาจทำให้เกิดเชื้อราและแบคทีเรียสะสม

อาการที่ควรหยุดใช้หน้ากากอนามัย

  • หายใจลำบาก (Difficulty Breathing) : หากรู้สึกหายใจลำบากขณะใส่หน้ากาก ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์
  • มีผื่นแดงหรืออาการแพ้ (Skin Rash or Allergic Reactions) : หากมีผื่นแดง คัน หรืออาการแพ้บริเวณที่สัมผัสกับหน้ากาก ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์
  • หน้ากากชำรุด (Damaged Mask) : หากหน้ากากฉีกขาด หรือส่วนประกอบต่างๆ เสียหาย ควรเปลี่ยนหน้ากากใหม่ทันที
การทิ้งหน้ากากอนามัยใช้แล้วอย่างปลอดภัย โดยใส่ถุงมือและทิ้งในถังขยะที่เหมาะสม

การทิ้งหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี (Proper Disposal of Face Masks)

การทิ้งหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธีมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคสู่สิ่งแวดล้อมและผู้อื่น

ขั้นตอนการทิ้งหน้ากากอนามัยอย่างถูกต้อง

  • เตรียมถุงพลาสติก (Prepare a Plastic Bag) : ก่อนถอดหน้ากาก ควรเตรียมถุงพลาสติกสำหรับใส่หน้ากากที่ใช้แล้ว
  • ถอดหน้ากากโดยไม่สัมผัสส่วนด้านหน้า (Remove the Mask Without Touching the Front) : จับที่สายคล้องหูหรือสายผูก และถอดหน้ากากออกโดยไม่สัมผัสส่วนด้านหน้า
  • ใส่หน้ากากในถุงพลาสติกและปิดปากถุงให้มิดชิด (Place the Mask in the Bag and Seal It) : ใส่หน้ากากที่ใช้แล้วลงในถุงพลาสติก และปิดปากถุงให้มิดชิด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
  • ทิ้งลงในถังขยะที่มีฝาปิด (Dispose of the Bag in a Covered Trash Bin) : ทิ้งถุงพลาสติกที่มีหน้ากากอยู่ภายในลงในถังขยะที่มีฝาปิด เพื่อป้องกันสัตว์และแมลงนำพาเชื้อโรค
  • ล้างมือให้สะอาด (Wash Your Hands Thoroughly) : หลังทิ้งหน้ากาก ควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ทันที

การจัดการขยะหน้ากากอนามัยในช่วงการระบาด

ในช่วงที่มีการระบาดของโรคติดต่อทางเดินหายใจ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเพิ่มเติมจากหน่วยงานสาธารณสุขเกี่ยวกับการจัดการขยะหน้ากากอนามัย เช่น การแยกทิ้งขยะติดเชื้อ

สรุปและคำแนะนำเพิ่มเติม

การใส่และดูแลรักษาหน้ากากอนามัยอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้รับการป้องกันสูงสุด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในบทความนี้อย่างเคร่งครัด

คำแนะนำเพิ่มเติม

  • สำหรับผู้ที่ต้องใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน อาจพิจารณาใช้หน้ากากที่มีวัสดุที่ระบายอากาศได้ดี หรือใช้เทคนิคการพักหน้ากากเป็นระยะ (ตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ)
  • การสวมหน้ากากอนามัยเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการป้องกัน ควรปฏิบัติตามมาตรการอื่นๆ เช่น การล้างมือ การเว้นระยะห่างทางสังคม และการฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ