อย่าหลงกล! วิธีดูฉลากสินค้าปลอม ที่กำลังหลอกผู้บริโภค

อย่าหลงกล! วิธีดูฉลากสินค้าปลอม ที่กำลังหลอกผู้บริโภค

หลีกเลี่ยงสินค้าปลอม! เรียนรู้วิธีดูฉลากสินค้าปลอม ตรวจสอบบาร์โค้ด โลโก้ และเลข อย. เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าที่ซื้อปลอดภัยและได้มาตรฐาน

คุณเคยเจอสินค้าราคาถูกจนน่าตกใจไหม? หรือเคยซื้อน้ำหอม เครื่องสำอาง หรืออาหารเสริมที่ฉลากดูแปลกๆ แต่ก็ยังลองซื้อมาใช้หรือเปล่า? ถ้าเคย นั่นอาจหมายความว่าคุณกำลังตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพที่ใช้ “ฉลากสินค้าปลอม” เพื่อหลอกขายของที่ไม่ได้มาตรฐาน

ฉลากสินค้าปลอมเป็นปัญหาที่แพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การซื้อของออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคจำนวนมากมักตกเป็นเหยื่อของสินค้าปลอมที่มีการออกแบบฉลากให้ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วอาจเป็นของลอกเลียนแบบที่ไม่มีคุณภาพ หรือแย่ไปกว่านั้นอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ!

ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่า วิธีตรวจสอบฉลากสินค้าปลอม ทำได้อย่างไรบ้าง และ เทคนิคการป้องกันตัวเองจากการซื้อสินค้าปลอม มีอะไรบ้าง เพื่อให้คุณสามารถเลือกซื้อสินค้าได้อย่างมั่นใจ

ฉลากสินค้าปลอมคืออะไร และทำไมถึงต้องระวัง?

ฉลากสินค้าปลอมหมายถึงฉลากที่ถูกปลอมแปลงให้ดูคล้ายของแท้เพื่อหลอกลวงผู้บริโภค บางครั้งสินค้าปลอมอาจใช้ฉลากที่ใกล้เคียงกับของจริงมากจนแยกแทบไม่ออก แต่ในความเป็นจริงแล้ว สินค้าเหล่านี้มักมีคุณภาพต่ำ ไม่มีการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

สินค้าประเภทที่มักถูกปลอมแปลงฉลากมากที่สุด ได้แก่

  • เครื่องสำอางและสกินแคร์ – เช่น ครีมบำรุงผิว ลิปสติก น้ำหอม ที่อาจมีสารเคมีอันตราย
  • อาหารเสริมและวิตามิน – บางครั้งอาจไม่มีส่วนผสมตามที่ระบุ หรือแย่กว่านั้นคือมีสารที่เป็นอันตราย
  • ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ – ยาปลอมอาจไม่มีตัวยาสำคัญ หรือมีสารที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย
  • อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ – เช่น สายชาร์จ แบตเตอรี่ ที่ไม่ได้มาตรฐานและอาจทำให้เกิดอันตราย

ฉลากสินค้าปลอมเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม เพราะไม่เพียงแต่ทำให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ แต่ยังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ใช้

นอกจากการดูฉลากที่ถูกต้องแล้ว การเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัยก็เป็นสิ่งสำคัญ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Zero Waste Packaging และผลกระทบต่อสุขภาพ ได้ที่ Zero Waste Packaging กับสุขภาพ เทรนด์ใหม่ที่คนยุคนี้ต้องรู้

5 วิธีเช็กฉลากสินค้าปลอมให้ชัวร์ก่อนซื้อ

ถ้าไม่อยากเสียเงินฟรีหรือเสี่ยงใช้สินค้าปลอมที่อาจเป็นอันตราย เราต้องรู้จัก วิธีตรวจสอบฉลากสินค้า ให้เป็น วันนี้เราจะมาแนะนำ 5 วิธีเช็กฉลากสินค้าปลอมแบบง่ายๆ ที่ใครก็ทำตามได้ แค่สังเกตดีๆ ก็ช่วยให้เราซื้อของได้อย่างมั่นใจขึ้น

1. สังเกตโลโก้และฟอนต์ตัวอักษรให้ละเอียด

ทำไมต้องเช็ก?

แบรนด์ของแท้ให้ความสำคัญกับโลโก้และตัวอักษรบนฉลากมาก ถ้าเจอโลโก้ดูผิดเพี้ยน หรือฟอนต์ตัวหนังสือแปลกไปจากที่เคยเห็น อาจเป็นของปลอมได้

วิธีสังเกต

  • โลโก้ – สีของโลโก้ต้องคมชัด ไม่มีรอยเบลอหรือละลาย ตัวอักษรต้องตรงตามแบบของแท้เป๊ะๆ
  • ฟอนต์ – ตัวอักษรบนฉลากต้องไม่มีสะกดผิด ไม่ควรมีตัวเอียงเกินไปหรือดูบางเกินปกติ
  • ตำแหน่งของโลโก้ – ของปลอมบางครั้งจะวางโลโก้ผิดตำแหน่งหรือมีขนาดใหญ่/เล็กเกินไป

Tip : ลองเข้าไปดูภาพสินค้าของแท้จากเว็บไซต์ทางการของแบรนด์แล้วเปรียบเทียบกับสินค้าที่เราจะซื้อ ถ้ามีจุดแตกต่างที่น่าสงสัย ให้คิดไว้ก่อนว่าอาจเป็นของปลอม

2. ตรวจสอบหมายเลขจดทะเบียนและ อย.

ทำไมต้องเช็ก?

สินค้าในหมวดอาหาร ยา และเครื่องสำอางต้องมีเลขจดทะเบียนที่ถูกต้อง หากไม่มีหรือเลขดูแปลกๆ อาจเป็นสินค้าปลอม หรือสินค้าที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ขาย

วิธีสังเกต

  • เลข อย. หรือหมายเลขจดทะเบียน – ตรวจสอบได้ผ่านเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือหน่วยงานที่รับรองมาตรฐานสินค้า
  • การพิมพ์ตัวเลข – หมายเลขต้องพิมพ์ชัดเจน ไม่มีรอยเบลอ หรือถูกแก้ไขด้วยสติกเกอร์ทับ

Tip : เข้าเว็บไซต์ www.fda.moph.go.th แล้วใส่เลข อย. ลงไป ถ้าระบบแจ้งว่าไม่มีข้อมูล แสดงว่าสินค้านั้นอาจไม่ใช่ของแท้

3. สแกนบาร์โค้ดหรือ QR Code เพื่อตรวจสอบข้อมูลสินค้า

ทำไมต้องเช็ก?

บาร์โค้ดและ QR Code เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้เราตรวจสอบข้อมูลสินค้าได้เร็วที่สุด ของแท้ส่วนใหญ่จะมีรหัสที่เชื่อมโยงไปยังฐานข้อมูลของบริษัท

วิธีสังเกต

  • ใช้แอปพลิเคชันสแกนบาร์โค้ด – ลองใช้แอป เช่น GS1 Thailand , FDA Check หรือแอปของผู้ผลิต มาสแกน หากขึ้นข้อมูลตรงกับแบรนด์ แสดงว่าของแท้
  • QR Code นำไปสู่เว็บทางการ – ถ้าสแกนแล้วลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือไม่เกี่ยวข้องกับสินค้าเลย อาจเป็นของปลอม

Tip : ถ้าสแกนบาร์โค้ดแล้วไม่มีข้อมูลขึ้น หรือข้อมูลไม่ตรงกับแบรนด์ ให้คิดไว้ก่อนว่าอาจเป็นของปลอม!

4. ตรวจสอบคุณภาพของบรรจุภัณฑ์

ทำไมต้องเช็ก?

สินค้าของแท้มักใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง เพื่อรักษาสินค้าให้อยู่ในสภาพดี ถ้าบรรจุภัณฑ์ดูเหมือนทำมาลวกๆ หรือใช้วัสดุราคาถูก อาจเป็นของปลอม

วิธีสังเกต

  • ความแข็งแรงของกล่องหรือขวด – ของแท้จะใช้กระดาษแข็ง พลาสติก หรือแก้วคุณภาพดี ไม่บางจนเสียรูปง่าย
  • การพิมพ์บนกล่องหรือฉลาก – สีต้องชัด ไม่มีจุดเลอะ ตัวอักษรต้องอ่านง่าย ไม่มีการพิมพ์ผิด
  • สติกเกอร์หรือซีลกันปลอม – ของแท้จะมีซีลพลาสติกหรือสติกเกอร์กันปลอมที่ติดแน่น ไม่สามารถลอกออกได้ง่ายๆ

Tip : ลองจับกล่องหรือบรรจุภัณฑ์แล้วสังเกตเนื้อสัมผัส ถ้ารู้สึกว่าบางหรือเบากว่าปกติ ให้สงสัยไว้ก่อน!

5. เปรียบเทียบราคากับร้านค้าที่น่าเชื่อถือ

ทำไมต้องเช็ก?

ราคาถูกเกินไปมักเป็นจุดสังเกตของสินค้าปลอม ของแท้มีต้นทุนการผลิตสูง ถ้าราคาต่ำผิดปกติ อาจเป็นของปลอม หรือของหมดอายุที่นำมาขายลดราคา

วิธีสังเกต

  • เปรียบเทียบราคากับเว็บทางการ – เข้าไปเช็กราคาจากเว็บไซต์ของแบรนด์ หรือร้านค้าตัวแทนจำหน่าย
  • ระวังสินค้าลดราคาเยอะเกินไป – ถ้าเห็นสินค้าราคา 50-70% จากราคาปกติ โดยไม่มีเหตุผล เช่น โปรโมชั่นจากบริษัท อาจเป็นของปลอม
  • ดูรีวิวของร้านค้า – เช็กว่าร้านค้านั้นมีรีวิวจากลูกค้าคนอื่นหรือไม่ ถ้ามีรีวิวเชิงลบเกี่ยวกับของปลอม ควรหลีกเลี่ยง

Tip : ของแท้ไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป แต่ถ้าราคาถูกเกินไปและไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน อาจเป็นของปลอมได้!

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยป้องกันการปลอมแปลงได้ เช่น Active Packaging ซึ่งช่วยให้กล่องกระดาษสามารถตรวจจับสารอันตรายหรือแสดงการเปลี่ยนแปลงของสินค้าได้

ทำไมต้องระวังสินค้าฉลากปลอม?

อันตรายที่มาพร้อมกับสินค้าปลอม

  • สารเคมีอันตราย – เครื่องสำอางปลอมอาจมีสารต้องห้าม เช่น ปรอท หรือไฮโดรควิโนน ที่ทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรง
  • ตัวยาที่ไม่มีประสิทธิภาพ – ยาปลอมอาจไม่มีตัวยาสำคัญ หรืออาจมีสารที่ทำให้เกิดผลข้างเคียง
  • อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน – ของปลอมมักใช้วัสดุคุณภาพต่ำ ซึ่งอาจทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและแบรนด์ของแท้

สินค้าปลอมทำให้บริษัทที่ผลิตสินค้าของแท้เสียหาย เพราะผู้บริโภคที่ซื้อของปลอมแล้วได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดี อาจเข้าใจผิดและไม่กลับมาซื้อสินค้าจากแบรนด์นั้นอีก

การเลือกซื้อสินค้าต้องพิจารณาคุณภาพของบรรจุภัณฑ์ด้วย เพราะบางครั้ง กระดาษที่ใช้ห่อสินค้าหรือกล่องบรรจุภัณฑ์ อาจมีสารอันตรายที่ส่งผลต่อสุขภาพของเราได้

ผู้บริโภคใช้สมาร์ทโฟนสแกน QR Code บนฉลากสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อเช็คข้อมูลผลิตภัณฑ์และความถูกต้องของฉลากสินค้าก่อนซื้อ

วิธีป้องกันตัวเองจากการซื้อสินค้าปลอม

  1. ซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ – หลีกเลี่ยงร้านค้าที่ไม่มีรีวิว หรือร้านที่ขายสินค้าราคาถูกเกินจริง
  2. เช็กรีวิวจากผู้ซื้อจริง – อ่านความคิดเห็นจากลูกค้าคนอื่นๆ เพื่อดูว่ามีใครเคยเจอสินค้าปลอมหรือไม่
  3. ใช้แอปพลิเคชันช่วยตรวจสอบสินค้า – ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันหลายตัวที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบบาร์โค้ดของสินค้าได้
  4. หลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าจากโฆษณาที่เกินจริง – หากมีโฆษณาที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ให้ตั้งข้อสงสัยว่าสินค้านั้นอาจเป็นของปลอม

สรุป

ฉลากสินค้าปลอมเป็นปัญหาที่ทุกคนต้องระวัง เพราะไม่เพียงแต่ทำให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ แต่ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้ใช้ การเรียนรู้วิธีตรวจสอบสินค้าก่อนซื้อเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันตัวเองจากการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า อย่าลืมตรวจสอบฉลากให้ละเอียด เปรียบเทียบข้อมูล และซื้อจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าที่คุณได้รับเป็นของแท้และปลอดภัยต่อการใช้งาน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. ฉลากสินค้าปลอมคืออะไร?

ฉลากสินค้าปลอมคือฉลากที่ถูกปลอมแปลงให้ดูคล้ายของแท้เพื่อหลอกขายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยมักพบในสินค้าประเภทเครื่องสำอาง อาหารเสริม ยา และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

2. วิธีเช็กฉลากสินค้าปลอมมีอะไรบ้าง?

คุณสามารถตรวจสอบฉลากสินค้าปลอมได้โดยดูความผิดปกติของโลโก้ ฟอนต์ตัวอักษร สแกนบาร์โค้ด ตรวจสอบเลขที่ อย. และเปรียบเทียบราคากับร้านค้าที่น่าเชื่อถือ

3. ฉลากสินค้าปลอมเป็นอันตรายอย่างไร?

สินค้าฉลากปลอมอาจมีสารเคมีอันตราย ยาปลอมอาจไม่มีตัวยาสำคัญ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ปลอมอาจทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและความปลอดภัย

4. ควรซื้อสินค้าจากแหล่งไหนเพื่อหลีกเลี่ยงของปลอม?

แนะนำให้ซื้อสินค้าจากร้านค้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ห้างสรรพสินค้า หรือเว็บไซต์ของแบรนด์โดยตรง เพื่อลดความเสี่ยงจากสินค้าปลอม

5. มีแอปพลิเคชันไหนช่วยตรวจสอบสินค้าปลอมได้บ้าง?

คุณสามารถใช้แอปพลิเคชัน เช่น GS1 Thailand , FDA Check หรือแอปของผู้ผลิตสินค้าเพื่อตรวจสอบบาร์โค้ดและข้อมูลของผลิตภัณฑ์